วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 2
วันจันทร์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น.

Knowledge (ความรู้)
นำเสนองานที่ได้รับมอบหมายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน 4 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 เรื่อง พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
คุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐานประกอบด้วย
1. พัฒนาการด้านร่างกาย มี 2 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
มาตรฐานที่ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
2. พัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ มี 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
มาตรฐานที่ ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
3. พัฒนาการด้านสังคม มี 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานที่ รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
มาตรฐานที่ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
4. พัฒนาการด้านสติปัญญา มี 4 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย 


สิ่งที่อาจารย์เพิ่มเติม 
·  มาตรฐาน คือ เกณฑ์ขั้นต่ำ
·  สภาพที่พึงประสงค์ คือ ความคาดหวังที่ต้องการให้เด็กทำได้ 
·  หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546 กับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 แตกต่างกันอย่างไร? คือ
มีการแยกรูปแบบของพัฒนาการเด็กชัดเจนมากยิ่งขึ้น
·  ควรมีทฤษฎีพัฒนาการด้านต่างๆประกอบด้วย เช่น
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 
1.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget)
        เพียเจต์ (Jean Piaget, 1969)  นักจิตวิทยาชาวสวิสที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญในทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญา หนังสือและบทความทั้งหมดซึ่งเป็นผลงานของเขาเกี่ยวข้องกับความเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นถึงความสำคัญของความเป็นมนุษย์ อยู่ที่มนุษย์มีความสามารถในการสร้างความรู้ผ่านการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปรากฏอยู่ในตัวเด็กตั้งแต่แรกเกิด ความสามารถนี้คือการปรับตัว (Adaptation) เป็นกระบวนการที่เด็กสร้างโครงสร้างตามความคิด (Scheme) โดยการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งแวดล้อม 2 ลักษณะ คือ เด็กพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดบ้อม โดยซึมซับประสบการณ์ (Assimilation) และการปรับโครงสร้างสติปัญญา (Accommodation) ตามสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดความสมดุลในโครงสร้างความคิด ความเข้าใจ (Equilibration) ทั้งนี้ เพียเจต์ได้แบ่งลำดับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาไว้ 4 ขั้นดังนี้
1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) พัฒนาการระยะนี้อยู่ในช่วง 2 ปีแรกหลังเกิด ขั้นนี้เป็นขั้นของการเรียนรู้จากประสาทสัมผัส ในขั้นนี้พัฒนาการจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการพัฒนาการเรียนรู้ การแก้ปัญหา มีการจัดระเบียบการกระทำ มีการคิดก่อนที่จะทำ การกระทำจะทำอย่างมีจุดมุ่งหมายด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเด็กยังสามารถเลียนแบบ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวแบบให้เห็นในขณะนั้นได้ ซึ่งแสดงถึงพัฒนาการด้านความจำที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง 18-24 เดือน
2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage)   ขั้นนี้จะอยู่ในช่วง 2-7 ปี ในระยะ 2-4 ปี เด็กยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง มีขีดจำกัดในการรับรู้ สามารถเข้าใจได้เพียงมิติเดียว ในระยะ 5-6 ปี เด็กจะย่างเข้าสู่ขั้น Intuitive Thought ระยะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคิด ที่ขึ้นอยู่กับการรับรู้กับการคิดอย่างมีเหตุผลตามความจริง ซึ่งเด็กจะก้าวออกจากการรับรู้เพียงมิติเดียวไปสู่การรับรู้ได้ในหลาย ๆ มิติในเวลาเดียวกันมากขึ้น และจะก้าวไปสู่การคิดอย่างมีเหตุผล โดยไม่ยึดอยู่กับการรับรู้เท่านั้น เด็กจะเริ่มมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวดีขึ้น แต่ยังคิดและตัดสินผลของการกระทำต่าง ๆ จากสิ่งที่เห็นภายนอก
3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรม (Concrete Operational Stage) ขั้นนี้ เริ่มจากอายุ 7-11 ปี เด็กจะมีความสามารถคิดเหตุผลและผลที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ยึดอยู่เฉพาะการรับรู้เหมือนขั้นก่อน ๆ ในขั้นนี้เด็กจะสามารถคิดย้อนกลับ (Reversibility) สามารถเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์ (Conservation) สามารถจัดกลุ่มหรือประเภทของสิ่งของ (Classification) และสามารถจัดเรียงลำดับของสิ่งต่าง ๆ (Seriation) ได้ เด็กในขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรมจะพัฒนาจากการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางไปสู่ความสามารถที่จะเข้าใจแนวคิดของสังคมรอบตัว และสามารถเข้าใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไรมากขึ้น แม้ว่าการคิดของเด็กวัยนี้จะพัฒนาไปมากแต่การคิดของเด็กยังต้องอาศัยพื้นฐานของการสัมผัสหรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม เด็กยังไม่สามารถคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ซับซ้อนได้เหมือนผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ตอนปลายของขั้นนี้เด็กจะเริ่มเข้าใจสาเหตุของเหตุการณ์รอบตัวพร้อมจะแก้ปัญหา ไม่เพียงแต่สิ่งที่สัมผัสได้หรือเป็นรูปธรรมเท่านั้นแต่เด็กจะเริ่มสามารถแก้ปัญหา โดยอาศัยการตั้งสมมติฐานและอาศัยหลักของความสัมพันธ์ของปัญหานั้น ๆ บ้างแล้ว
4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) ตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่เป็นช่วงที่เด็กจะสามารถคิดไม่เพียงแต่ในสิ่งที่เห็นหรือได้ยินโดยตรงเหมือนระยะก่อน ๆ อีกต่อไป แต่จะสามารถจินตนาการเงื่อนไขของปัญหาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยพัฒนาสมมติฐานอย่างสมเหตุสมผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งก็หมายถึงว่า ในระยะนี้เด็กจะมีความสามารถคิดหาเหตุผลเหมือนผู้ใหญ่นั่นเอง 


2.ทฤษฎีวุฒิภาวะของกีเซลล์ (Arnold Gesell)
        อาร์โนลด์ กีเซลล์ (Arnold Gesell 1880-1961) ใช้คำว่า วุฒิภาวะ (maturation) เพื่อหมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ (pattern) และรูปร่าง (shape) ของพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากยีนส์ (genes) หรือความพร้อมของกล้ามเนื้อและระบบประสาทจะปรากฏเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าทางพันธุกรรม ทักษะและพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันของเด็กแต่ละคนจะปรากฏในเวลาไล่เลี่ยกัน เกเซลล์ ใช้คำ ว่าวงจรของพฤติกรรม (cycles of behavior)เกเซลล์ และคณะ ศึกษาพัฒนาการของทารก เด็ก และวัยรุ่นอายุ แรกเกิด-16 ปี โดยการสังเกตพฤติกรรมด้วยตนเองจากภาพยนตร์ และการสัมภาษณ์บิดามารดา และจัดกลุ่มข้อมูลสำหรับเป็นข้อมูลพื้นฐานของบุคลิกภาพ (Personality profile) ได้ 10 ด้าน คือ
1. ลักษณะการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก 
2. สุขนิสัยส่วนบุคคล 
3. การแสดงออกของอารมณ์  
4. ความกลัว ความฝัน
5. ความเป็นตัวของตัวเอง การแสดงออกทางเพศ
6. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
7. การเล่นและการใช้เวลาว่าง
8. การเรียน
9.จริยธรรม
10. ปรัชญาชีวิต

        กีเซลล์ (Arnold Gesell) ได้ศึกษาความสามารถของเด็กตามแบบธรรมชาติ โดยสังเกตพฤติกรรมของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนเติบโตเต็มที่ การสังเกตมีทั้งสังเกตด้วยตาและถ่ายภาพยนตร์เอาไว้ศึกษาโดยละเอียดภายหลังผลการศึกษา กีเซลล์ สรุปว่า ความสามารถของเด็กมีเป็นระยะและขั้นตอน แต่ละช่วงอายุมีความหมายและมีความสำคัญแก่ชีวิต เพราะเป็นรากฐานของบุคคลเมื่อเป็นผู้ใหญ่พฤติกรรมของบุคคลจะมีอิทธิพลมาจากสภาพความพร้อมทางร่างกาย ได้แก่ กล้ามเนื้อ ต่อมกระดูก และประสาทต่าง ๆ สิ่งแวดล้อมเป็นเพียงส่วนประกอบของการเปลี่ยนแปลง และกีเซลล์ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1. พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว (gross motor development)
เป็นความสามารถของร่างกายที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและความ สัมพันธ์ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด
2. พฤติกรรมด้านการปรับตัว (fine motor or adaptive development)
 เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่างระบบการเคลื่อนไหวกับระบบความรู้สึก เช่น การประสานงานระหว่างตากับมือ ซึ่งดูได้จากความสามารถในการใช้มือของเด็ก เช่น ในการตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นลูกบาศก์ การสั่นกระดิ่ง การแกว่งกำไล ฯลฯ ฉะนั้น พฤติกรรมด้านการปรับตัวจึงสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางด้านการเคลื่อนไหว
3. พฤติกรรมทางด้านภาษา (language development)
ประกอบด้วยวิธีสื่อสารทุกชนิด เช่น การแสดงออกทาง หน้าตา ท่าทาง การเคลื่อนไหวท่า ทางของร่างกาย ความสามารถในการเปล่งเสียง และภาษาพูดการเข้าใจในการสื่อสารกับผู้อื่น
4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม (personal social development)
เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก ระหว่างบุคคลกับบุคคลและบุคคลกับกลุ่มภายใต้ภาวะแวดล้อมและสภาพความเป็นจริงนับเป็นการปรับตัวที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของสมองและระบบการเคลื่อนไหวประกอบกัน ในส่วนที่เกี่ยวกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก         

กลุ่มที่ 2 เรื่อง ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
คือ ความสนใจที่เด็กอยากเรียนรู้ เช่น การอ่าน การเขียน การเล่น
การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมเด็กปฐมวัย
กิจกรรมการเล่นเสรี มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสนใจในการอ่านและการเขียน เพราะเด็กมีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทำกิจกรรมในมุมใด ในแต่ละมุมจะมีวัสดุอุปกรณ์ที่ส่งเสริมภาษา เช่น  
·       มุมบ้าน ครูอาจเขียนตัวหนังสือบนสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน
·       มุมบล็อก หาสิ่งของที่มีตัวหนังสือมาประกอบการเล่นบล็อกและสร้างเรื่องราว
·       มุมวิทยาศาสตร์ ครูอาจเขียนบัตรคำบอกชื่อสิ่งต่างๆไว้
·       มุมห้องสมุด จัดให้มีบรรยากาศสบายๆ มีมุมเขียนอยู่ใกล้ๆ
·       มุมคณิตศาสตร์จัดให้มีตัวเลข ตัวหนังสือที่ของเล่น เป็นต้น

การสอนเป็นหน่วยบูรณาการ เพื่อให้ประสบการณ์ที่มีความหมายกับเด็ก เพราะได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ เช่น การเจริญเติบโตของพืช ให้เด็กได้หาความรู้ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพืช สังเกตการเจริญเติบโต เปรียบเทียบสิ่งต่างๆ

ความต้องการของเด็กปฐมวัย
ด้านร่างกาย
-กระโดด เต้น ออกกำลังกายแขน ขา
-การช่วยเหลือตนเอง เช่น การติดกระดุม ใส่รองเท้า ทานอาหาร เป็นต้น
ด้านอารมณ์ จิตใจ
-ต้องการความรัก ความเอาใจใส่ ความใกล้ชิด
-ระบายอารมณ์อย่างอิสระ
ด้านสังคม
-แสดงออกอย่างสนุกสนาน
-ต้องการการยอมรับจากผู้ใหญ่
-การเล่นแบบคู่ขนาน
ด้านสติปัญญา
-ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ

***ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัยมาจากพัฒนาการของเด็ก

กลุ่มที่ 3 เรื่อง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีไวกอสกี้  (Vygotsky)
เด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ  Zone of proximal development ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์ เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
ทฤษฎีบรูเนอร์(Bruner)
แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้น
1.ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ (Enactive stage)
2.ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ (Inconic stage)
3.ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์ (Symbolic stage)


กลุ่มที่ 4 เรื่อง การสอนแบบโครงการ (Project Approach)
การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก  ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่อง
ที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา  โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้

วิธีการจัดการเรียนการสอน
มี 3 ระยะ
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กร่วมกันคิดเรื่องที่ตนสนใจ สอบถามถึงประสบการณ์เดิมของเด็ก คำถามที่หนูอยากรู้
ระยะที่ 2 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่อยากรู้ หาวิธีหาคำตอบ (สอบถามเด็ก) เช่น ไปห้องสมุด     ทัศนศึกษา วางแผนว่าใครจะทำหน้าที่อะไรในการนำเสนอ
ระยะที่ 3 สรุปโครงการ นำเสนอความรู้ต่างๆที่ได้รับ โดยเด็กแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบ
ประโยชน์ที่ได้รับ
-เด็กเห็นคุณค่าในตนเอง
-ประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนมี
-เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข
-การทำงานแบบมีแบบแผน
-สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง


Vocabulary (คำศัพท์)
Function - หน้าที่
Exact - แน่นอน
Assimilation - การดูดซึม
Accommodation - การปรับและจัดระบบ 
Equilibration -การปรับสมดุล
Sensory - ประสาทสัมผัส
Intuitive - สัญชาตญาณ
Concrete - รูปธรรม
Formal - ทางการ (นามธรรม)
Absolute - แน่นอน
Differences - ความแตกต่าง
Project - โครงการ
Approach - การเข้าใกล้ วิธีการทำให้ถึงจุดหมาย

Applied (การประยุกต์ใช้)
        นำแนวคิดและหลักการต่างๆ ที่อาจารย์อธิบายไปใช้สอนได้จริงและสามารถทำให้เราปฏิบัติงานและจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้คุณภาพในการสอนมีผลที่ดีขึ้นและมีความทันสมัยมากขึ้น

Evaluation (การประเมิน)
Self (ประเมินตนเอง)
        เข้าเรียนตรงเวลาและตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดมีข้อเสนอและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับอาจารย์เมื่ออาจารย์ถามคำถาม ได้รับความรู้และเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างหลักสูตรปี 2546 และหลักสูตรปี 2560 ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรและเพิ่มเติมอะไรเข้ามาบ้าง
Friends (ประเมินเพื่อน)
        เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียนและช่วยกันหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนและตอบคำถามอาจารย์ได้เป็นอย่างดีเตรียมงานนำเสนอที่ตัวเองรับผิดชอบมาเป็นอย่างดีมีความพร้อมและน่าสนใจ
Teacher (ประเมินอาจารย์)
        อาจารย์มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ตรงต่อเวลาและเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดีอาจารย์แต่งกายสุภาพเหมาะสมสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักศึกษาได้อาจารย์คอยให้คำแนะนำและอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำเสนอเพื่อให้นักศึกษามีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น


Photo Gallery (ประมวลภาพกิจกรรม)

























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียนครั้งที่ 17 วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.00-15.30 น. ชดเชยของวันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 เวลา 11.30-14.30 ...